วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

การทำน้ำหมักชีวภาพเพื่อบริโภค


น้ำหมักชีวภาพ  (เอนไซน์)  เป็นสารโปรตีน  วิตามินเอ  บี  ซี  ดี  อี  เค  อะมิโนเอซิค (Amino acid)  และ อะเซทิลโคเอ (Acetyl Coa)  ที่ได้จากการหมักผัก  ผลไม้หรือสมุนไพรต่าง ๆ  ก่อนที่จะได้เป็นน้ำหมักหัวเชื้อนั้น  จะให้เวลาหมักอายุ  6  เดือน  แล้วจึงนำมาขยายหมักต่ออีก  6  เดือน  ก็จะได้น้ำหมักที่มีอายุ  1  ปี  หรืออายุมากกว่านั้น  ก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  น้ำหมักชีวิภาพเพื่อบริโภคนั้น  หากหมักได้ถูกต้อง  ก็จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพของระบบย่อย  ระบบขับถ่าย  ทำให้มีภูมิต้านทานโรคดีขึ้น
ช่วยลดไขมันในเลือดได้  



Nectarine+Pear
Nectarine+Pear อายุการหมัก ๑ สัปดาห์
น้ำหมักหัวเชื้อ
การเก็บน้ำหมักเพื่อป้องกันแมลงรบกวน



น้ำหมักหัวเชื้อ

อุปกรณ์ที่ใช้

1.  ถังพลาสติกทึบแสงขนาดตามต้องการ
2.  ถุงพลาสติกใส่  ขนาดใหญ่  สำหรับใส่่ถังหมัก  เพื่อป้องกันแมลง

3.  ขวดพลาสติกหนา  หรือขุดแก้ว  สำหรับใส่น้ำหัวเชื้อ  ขนาดตามต้องการ

ส่วนผสม  

1.  น้ำตาลทรายแดงป่น หรือ กากน้ำตาล  1  กก.

2.  ผลไม้สด    3   กก.  (ควรใช้ผัก ผลไม้  หรือสุนไพร ที่มีตามฤดูกาล)

3.  น้ำ 10  ลิตร


วิธีหมัก

1.  น้ำตาลทรายแดงและน้ำผสมกัน  คนให้ละลายเข้ากันในถังพลาสติกที่สะอาด

2.  ล้างผลไม้ให้สะอาด  ผึ่งให้แห้งสนิท  หั่นผลไม้เป็นชิ้นขนาดเล็กพอสมควร  (ถ้าเป็นผลไม้ลูกเล็กไม่ต้องหั่น)

3.  นำผลไม้ที่หั่น  เทลงในถังน้ำตาลที่ผสมเข้ากันดีแล้ว  คนให้เข้ากันอีกครั้ง  ปิดฝาให้สนิท  นำถังใส่ลงในถุงพลาสติกแล้วปิดปากถุงให้สนิท  เพื่อกันแมลงไม่ให้มารบกวน

4.  เปิดถังตรวจดูทุกวัน  ในช่วงสัปดาห์แรกจะมีฟองสีขาวเกิดขึ้นและผลไม้จะลอย   ใช้ภาชนะสะอาดคนไล่แก๊ซออกให้หมด  และกดผลไม้ให้จม  เพื่อป้องกันส่วนบนไม่ให้ขึ้นรา  ดูทุกวันเป็นเวลา  4  สัปดาห์

5.  จากนั้นเปิดดูเดือนละครั้ง  ผลไม้จะจมและเกิดน้ำใส

6.  ขั้นต่อไปก็จะเกิดฝ้าสีขาวบาง ๆ  ลอยอยู่ส่วนบน  เมื่อมีอายุนานขึ้น  ก็จะกลายเป็นวุ้น  ถ้าเป็นฝ้าสีขาวปลอดภัย  ส่วนฝ้าสีดำมีโทษ เพราะการหมักอาจไม่สะอาดพอจึงเกิดจุลินทรีย์ที่ให้โทษได้  เพราะฉะนั้นจึงควรระวังเรื่องความสะอาดให้มาก

7.  เมื่อหมักได้  6  เดือน  กรองน้ำหมักส่วนที่ใสสำหรับเป็นหัวเชื้อ  ผสมกับน้ำผึ่งให้มีรสหวาน  ใส่ขวดเก็บไว้ทำเป็นหัวเชื้อ  หรือไว้ดื่ม  ส่วนกากที่เหลือให้เติมน้ำตาลและน้ำผสมให้ได้สัดส่วน  แล้วหมักต่ออีก  6  เดือน  ก็จะได้น้ำหมักมีอายุ  1  ปี


ลักษณะของน้ำหมัก  แบ่งออกเป็น  3  ระยะ  ดังนี้

การหมักระยะที่ 1   เป็นแอลกอฮอล์

การหมักระยะที่ 2   เป็นน้ำส้มสายชู

การหมักระยะที่ 3   เป็นยาธาตุมีรสขม


หมายเหตุ    คนอาศัยอยู่เมืองนอกก็ไม่มีผลไม้อย่างประเภท  ลูกยอ  บรเพ็ด  มะขามป้อม  ลำไย   มังคุด  และสมุนไพรของไทย ๆ   แต่เราก็สามารถใช้ผลไม้ที่มีตามท้องถิ่นและตามฤดูกาลได้




Plum
Nectarine
Pear
kaktusfeige
Kaki


บางท่านอาจจะใจร้อนอยากจะดื่มน้ำหมักก่อนกำหนด  ก็ดื่มได้ค่ะ  เอาหัวเชื้อที่กรองสะอาดดีแล้ว  ผสมน้ำและน้ำผึ่งดื่ม  รสชาดต้องไม่เปรี้ยวมาก  (ถ้าเปรี้ยวมากจะทำให้ฟันผุได้)  ฉันดื่มน้ำหมักผลไม้ทุกวัน ๆ  ละ  1  ช้อนคาว  ทางที่ดีก็ทดลองกันเองนะคะ  ว่าควรจะดื่มมากน้อยแค่ไหน  ฉันลองดื่มมาได้  5  เดือน  รู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงกว่าเมื่อก่อนมาก  ไปตรวจเช็คกระดูกมาแล้ว  ปรากฏว่ากระดูกไม่เสื่อมเร็วเหมือนเมื่อก่อน  ไม่จำเป็นต้องให้แคลเซี่ยมอีก (เมื่อก่อนต้องให้แคลเซี่ยมปีละครั้ง)  กระดูกกลับมีความแข็งแรงขึ้น  กล้ามเนื้อเยื่ออ่อนที่บริเวณรอบข้อต่าง ๆ  แข็งแรงยืดหยุ่นดีขึ้น  หัวเข่าเคยมีปัญหาเส้นยึดบ่อยมาก  บางครั้งเหยียดขาไม่ออกเป็นเวลา  3  ชั่วโมง  ปวดมากแสนจะทรมาน  จะเดินทางไกล ๆ  ก็ลำบาก  กลัวจะโดนเส้นยึดแข้งขาเหยียดไม่ออก  พอดื่มน้ำหมักได้ไม่นานอาการเหล่านี้ก็ไม่มีอีกแล้ว  เดินทางไกลได้อย่างสบาย   และอีกอย่างหนึ่ง  ฉันเป็นคนที่ชอบเป็นหวัดบ่อยมาก  ช่วงไหนมีหวัดระบาด  ฉันจะต้องเป็นคนแรกที่นำหวัดมาสู่คนในครอบครัวเสมอ  แต่เดี๋ยวนี้เก่งขึ้น  อยู่กับคนเป็นไข้หวัดใหญ่  ไอใส่บ่อย  ๆ  ก็ไม่ติดเชื้อ  นอกจากนั้นระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายดีขึ้นด้วย  ผิวหนังก็แข็งแรงไม่มีปัญหาเรื่องแพ้สารพิษ  เมื่อก่อนกินผักหรือผลไม้สด ๆ  จะเป็นตุ่มเป็นแผลในปากเสมอ  พอใช้น้ำหมักบ้วนปากทุกวัน  ปัญหาก็หมดไปได้  น้ำหมักทำให้เจริญอาหารด้วย  รู้สึกกินอะไรก็อร่อยไปหมด  สรุปแล้วน้ำหมักมีประโยชน์มากมายสุดจะบรรยาย  อยากรู้ก็ลองหมักเอง  กินเอง  รู้เองจะดีกว่าจ้ะ


..........................






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น